ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการจัดหาคน หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของลูกจ้าง เจ้าของกิจการ ลูกค้า และบุคคลอื่นที่เจ้ามาเกี่ยวข้องกับองค์การ การประมวลผลของข้อมูลจะช่วยแบ่งภาระการทำงานและยังสามารถนำสารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือหรือMIS เป็นระบบซึ่งรวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการดำเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล และการสร้างสารสนเทศขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วยผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์ การใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขตเกี่ยว ข้องกับ หลายหน้าที่ในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ตั้งแต่การใช้งานส่วนบุคคล กลุ่ม องค์การ และระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งยาก และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับหลายองค์การ
สรุปความหมายตามความเข้าใจ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
เป็นระบบเกี่ยวกับการจัดหาคน ในการดำเนินงานขององค์กร
ช่วยเหลือกิจกรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำงาน
และยังช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร
รวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
เพื่อให้ได้มาซึ่งการเก็บข้อมูล การประมวลผล และการสร้างสาระสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
การใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ได้ขยายขอบเขตเกี่ยว ข้องกับ
หลายหน้าที่ในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ
ช่วยแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งยากซับซ้อน และสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจ
คุณลักษณะที่ดีของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.ระบบสารสนเทศช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับการทำงาน
2.บุคลากรทุกคนต้องมีความรู้เกี่ยวกับ
MIS เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาและการใช้งานสารสนเทศทั่วองค์การ
ตลอดจนการขยาย ตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศและการปรับรูปของระบบงานอย่างต่อเนื่อง
3.การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจและการบรรลุเป้าหมายขององค์การมากขึ้น
4.ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งยาก
และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.สร้างโอกาสทางธุรกิจ
ให้กับหลายองค์การ
เหตุใดผู้บริหารจึงควรศึกษาเรื่องของระบบสารสนเทศ
มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้บริหาร
โดยเป็นข้อมูลที่มีองค์ประกอบทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางกลยุทธ์นโยบาย ยุทธวิธี ปัญหาเฉพาะหน้า และการควบคุม EIS เน้นการแสดงกราฟิกและง่ายต่อการใช้ส่วนติดต่อผู้ใช้
พวกเขามีการรายงานที่แข็งแกร่งและเจาะลึกลงความสามารถในการ โดยทั่วไป EIS เป็น DSS ทั่วทั้งองค์กรที่จะช่วยให้ผู้บริหารระดับบนสุดวิเคราะห์เปรียบเทียบและเน้นแนวโน้มในตัวแปรที่สำคัญเพื่อให้พวกเขาสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานและระบุโอกาสและปัญหา
EIS และข้อมูลเทคโนโลยีคลังสินค้าจะมาบรรจบกันในตลาด ในปีล่าสุด
EIS ระยะได้สูญเสียความนิยมในความโปรดปรานของระบบธุรกิจอัจฉริยะ
ประโยชน์ที่ผู้บริหารจะได้รับ
1.เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจะรวมทั้ง สารสนเทศภายในและภายนอก
สารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน
รวมทั้งสิ่งที่คาดว่าจะเป็นในอนาคต
2.
นอกจากนี้ระบบเอ็มไอเอสจะต้อง ให้สารสนเทศ ในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์
เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม
และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้อง
3.
สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
เนื่องจากข้อมูล ถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็นระบบ
ทำให้ผู้บริหารสามารถจะเข้าถึงข้อมูล ได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เหมาะสม
และสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ทันต่อความต้องการ
4.
ช่วยในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน เมื่อแผนงานถูกนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผล
เพื่อประกอบการประเมิน
สารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงไร
5.
สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีควบคุม
ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผล
ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบสารสนเทศ มี
5 ส่วน ดังนี้
1. บุคลากร เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด
เพราะบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และเข้าใจวิธีการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ
จะเป็นผู้ดำเนินการในการทำงานทั้งหมด
บุคลากรจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
บุคลากรภายในองค์กรเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้เกิดระบบสารสนเทศด้วยกันทุกคน เช่น
ร้ายขายสินค้าแห่งหนึ่ง บุคลากรที่ดำเนินการในร้านทุกคน
ตั้งแต่ผู้จัดการถึงพนักงานขายเป็ฯส่วนประกอบที่จะทำให้เกิดสารสนเทศ
2.
ขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นระเบียบวิธีการปฏิบัติงานในการจัดเก็บรักษาข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่จะทำให้เป็นสารสนเทศได้
เช่น กำหนดให้มีการป้อนข้อมูลทุกวัน ป้อนข้อมูลให้ทันตามกำหนดเวลา
มีการแก้ไขข้อมูลข้อมูลให้ถูกต้องอยู่เสมอ กำหนดเวลาในการประมวลผล และ การทำรายงาน
เป็นต้น
การดำเนินงานต่าง ๆ ต้องมีขั้นตอน หากขั้นตอนใดมีปัญหา ระบบก็จะมีปัญหาด้วย เพราะทุกขั้นตอนล้วนมีผลต่อระบบสารสนเทศด้วยเช่นกัน
การดำเนินงานต่าง ๆ ต้องมีขั้นตอน หากขั้นตอนใดมีปัญหา ระบบก็จะมีปัญหาด้วย เพราะทุกขั้นตอนล้วนมีผลต่อระบบสารสนเทศด้วยเช่นกัน
3.
ฮาร์ดแวร์ เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการหรือประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศตามต้องการ
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถคำนวณได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
รวดเร็ว และสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง คอมพิวเตอร์จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของระบบสารสนเทศ
4.
ซอฟต์แวร์ คือ
ลำดับขั้นตอนที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซอฟต์แวร์
จึงหมายถึง ชุดคำสั่งที่เรียงเป็นลำดับขั้นตอน (โปรแกรม)
เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานและประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่เราต้องการ
5.
ข้อมูล เป็นวัตถุดิบที่จะทำให้เกิดสารสนเทศ
ข้อมูลที่เป็นวัตถุดิบจะต่างกันขึ้นกับสารสนเทศที่ต้องการ เช่น
ในสถาบันการศึกษามักจะต้องการสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนักเรียน
ข้อมูลผลการเรียน ข้อมูลอาจารย์ ข้อมูลการใช้จ่ายต่างๆ ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งทีทำให้เกิดสารสนเทศ
มุมองของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Dimensions
of Information Systems)
Organizations
องค์กรมีโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยระดับและความพิเศษที่แตกต่างกันโครงสร้างของพวกเขาเปิดเผยการแบ่งงานชัดเจน อำนาจและความรับผิดชอบในบริษัท
ธุรกิจมีการจัดระเบียบเป็นลำดับชั้น หรือโครงสร้างพีระมิด ระดับบนของลำดับชั้นประกอบด้วย ผู้จัดการ, พนักงานมืออาชีพ,พนักงานด้านเทคนิค,ในขณะที่ระดับล่างประกอบด้วยบุคลากรที่ปฏิบัติงาน
Management
การจัดการคือการทำให้รู้สึกจากหลาย
ๆ สถานการณ์ที่องค์กรต้องเผชิญ
ตัดสินใจและกำหนดแผนการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาขององค์กร
ผู้จัดการกำหนดกลยุทธ์องค์กรเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายสิเหล่านั้น; และจัดสรรทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรทางการเงินเพื่อประสานงานและประสบความสำเร็จตลอดจนพวกเขาต้องเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบ
Information technology (IT)
เทคโนโลยีสารสนเทศ
( IT ) โครงสร้างพื้นฐานหรือแพลตฟอร์มพื้นฐานที่ บริษัท
สามารถสร้างระบบสารสนเทศเฉพาะได้
Computer hardware
ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์คือ
อุปกรณ์ทางกายภาพที่ใช้ป้อนข้อมูล ประมวลผล และเอาต์พุต กิจกรรมในระบบสารสนเทศ
ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ขนาดและรูปทรงต่าง ๆ
(รวมถึงอุปกรณ์มือถือมือถือ);อุปกรณ์อินพุต, เอาต์พุตและอุปกรณ์จัดเก็บต่าง ๆ
และอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ด้วยกัน.
Computer software
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยรายละเอียด, คำแนะนำโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีการควบคุม และประสานงานคอมโพเนนต์ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศ
Data management technology
เทคโนโลยีการจัดการข้อมูลประกอบด้วยซอฟต์แวร์การจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลทางกายภาพสื่อ, ข้อมูลองค์กรและวิธีการเข้าถึง
Networking and telecommunications technology
ระบบเครือข่ายและการสื่อสารโทรคมนาคมเทคโนโลยีประกอบด้วยอุปกรณ์ทั้งทางกายภาพและซอฟแวร์, การเชื่อมโยงชิ้นส่วนต่าง ๆ
ของฮาร์ดแวร์และการถ่ายโอนข้อมูลจากที่หนึ่งสถานที่ทางกายภาพไปยังอีก
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารสามารถเชื่อมต่อได้เครือข่ายสำหรับแบ่งปันข้อมูลเสียงภาพเสียงและวีดีโอ
เห็นด้วย
เพราะระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีเนื้อหาที่กว้างและครอบคลุมมากกว่า เนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับพวกองค์กร
การจัดหาคนในการดำเนินงานขององค์กร โดยมีการรวมความรู้ความสามารถของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
เพื่อทำการสร้างสาระสนเทศในการตัดสินใจขององค์กร
และยังมีส่วนประกอบสาระสนเทศที่สำคัญ คือ บุคลากร ขั้นตอนการปฏิบัติ ฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ และข้อมูล หากขาดส่วนประกอบใดหรือส่วนประกอบใดไม่สมบูรณ์
ประเภทของสารสนเทศแบ่งตามระดับการจัดการ
1. ระดับสูง (Top
Level Management)
กลุ่มของผู้ใช้ระดับนี้จะเกี่ยวข้องกับ
ผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่กำหนดและวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย
โดยมีทั้งสารสนเทศภายใน และสารสนเทศภายนอก
เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์โดยรวม
ซึ่งระบบสารสนเทศในระดับนี้ต้องออกแบบให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน
ไม่มีความซับซ้อนหรือยุ่งยาก แสดงผลทางด้านกราฟฟิกบ้าง ต้องตอบสนองที่รวดเร็วและทันท่วงทีด้วยเช่นกัน
2. ระดับกลาง (Middle Level
Management)
เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ใช้งานระดับการบริหารและจัดการองค์กร
ซึ่งมีหน้าที่รับนโยบายมาจากผู้บริหารระดับสูง
นำมาสานต่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ด้วยการใช้หลักบริหารและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบสารสนเทศที่ใช้มักได้มาจากแหล่งข้อมูลภายใน
ระบบสารสนเทศจึงต้องมีการจัดอันดับทางเลือกแบบต่างๆไว้ โดยเลือกใช้ค่าทางสถิติช่วยพยากรณ์หรือทำนายทิศทางไว้ด้วย
หากระดับของการตัดสินใจนั้นมีความซับซ้อนหรือยุ่งยากมากเกินไป
3. ระดับปฏิบัติการ (Operation Level Management)
ผู้ใช้กลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการปฏิบัติงานหลักขององค์กร
เช่น การผลิตหรือประกอบสินค้า
งานทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องใช้การวางแผนหรือระดับการตัดสินใจมากนัก
ข้อมูลหรือสารสนเทศในระดับนี้ จะถูกนำไปประมวลผลในระดับกลางและระดับสูงต่อไป
กระบวนการธุรกิจ (Business Process)
คือ ขั้นตอนในการประกอบธุรกิจ โดยเริ่มตั้งแต่การนำเงินมาลงทุนกิจการเพื่อใช้เป็นค่าเครื่องจักร
วัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบ ค่าแรง ตลอดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานต่างๆ
แล้วทำการจำหน่ายสินค้าหรือบริการออกไป เพื่อให้ได้มาซึ่งรายรับแก่ธุรกิจ
หลังจากนั้นจึงนำไปหักค่าใช้จ่ายเพื่อดูผลได้สุทธิว่าได้กำไร
ตัวอย่างด้านการขาย
ธุรกิจร้านเสื้อผ้า
เริ่มตั้งการนำเงินมาลงทุนซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุในการทำเสื้อของทางร้านเปิดรับสมัครพนักงานที่มีทักษะในการตัดเย็บเสื้อ
ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน
ทำการตัดเย็บเสื้อตามรูปแบบของทางร้านเพื่อทำการวางจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค
หลังจากนั้นจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ทำการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เพื่อหาผลกำไรและขาดทุนของทางร้าน
ระบบสารสนเทศนั้นจะประกอบด้วย
1. ข้อมูล (Data) หมายถึง ค่าของความจริงที่ปรากฏขึ้น
โดยค่าความจริงที่ได้จะนำมาจัดการปรับแต่งหรือประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการ
2.สารสนเทศ (Information) คือ
กลุ่มของข้อมูลที่ถูกตามกฎเกณฑ์ตามหลักความสัมพันธ์
เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นมีประโยชน์และมีความหมายมากขึ้น
3.การจัดการ (Management) คือ การบริหารอย่างเป็นระบบ
เป็นการกำหนดเป้าหมายและทิศทางการจัดการขององค์กรนั้น ซึ่งต้องมีการวางแผน กำหนดการ
และจัดการทรัพยากรภายในองค์กร เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้นๆ
การทำงานร่วมกัน (Collaboration) คือการร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน
เป็นกระบวนการที่วนเกิดขึ้นซ้ำ
ๆระหว่างกลุ่มคนหรือองค์กรที่ทำงานร่วมกันเพื่อไปสู่เป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้
โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างข้อตกลง ตัดสินใจ แก้ไขปัญหาร่วมกัน
อีกทั้งยังมีการร่วมใจ ทัศนคติ ความตั้งใจ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานร่วมกัน
เป็นไปในทิศทางเดียวกันการทำงานร่วมกันทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้เกิดการแชร์และเป้าหมายที่ชัดเจน
การทำงานร่วมกันเน้นภารกิจหรือภารกิจความสำเร็จและมักจะเกิดขึ้นในธุรกิจหรืออื่น
ๆองค์กรและระหว่างธุรกิจ
เครือข่ายสังคมธุรกิจ (Social
Business) คือธุรกิจเพื่อสังคม - การใช้แพลตฟอร์มเครือข่ายทางสังคม,
รวมทั้ง Facebook, Twitter และสังคมภายในองค์กรเครื่องมือเพื่อดึงดูดพนักงานลูกค้าของพวกเขาและ
ซัพพลายเออร์ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คนงานสามารถตั้งค่าโปรไฟล์,กลุ่มแบบฟอร์มและ "ติดตาม" การอัพเดตสถานะของกันและกัน
เป้าหมายของธุรกิจเพื่อสังคมคือการเพิ่มความสัมพันธ์กับกลุ่มภายในและภายนอก บริษัท
เพื่อเร่งรัดและเพิ่มการแบ่งปันข้อมูลนวัตกรรมและการตัดสินใจ
มีการจัดแบ่งกลุ่มของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ดังนี้
•Social networks เชื่อมต่อผ่านโปรไฟล์ส่วนบุคคลและธุรกิจเครือข่ายสังคม
(ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์
ในการสร้างเครือข่ายสังคมเป็นการบริการที่เชื่อมโยงคนหลายคนเข้าไว้ด้วยกันผ่านอินเตอร์เน็ต
สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ
และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น
ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแชท ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ
เพลง อัปโหลดรูป บล็อก ตัวอย่างของ Social Network ได้แก่ Facebook Twitter Hi5 Blogger เป็นต้น
•Crowsourcing ใช้ความรู้โดยรวมเพื่อสร้างแนวคิดและแนวทางใหม่
ๆการกระจายปัญหาไปยังกลุ่มค้นเพื่อค้นหาคำตอบ
และวิธีการในการแก้ปัญหาทางธุรกิจนั้นๆ บริษัทสามารถ broadcast คำถามหรือปัญหาที่ต้องการคำตอบไปยังกลุ่มคนขนาดใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการใหม่ เป็นการทำงานที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มคนจำนวนมาก
เกิดจากการที่เรามีไอเดียหรือปัญหาที่ยากจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
โดยอาจจะขาดเงินทุนสนับสนุน หรือแรงงานที่จะช่วยในการทำให้สำเร็จ
เราก็สามารถแบ่งงานเหล่านั้นออกเป็นชิ้นเล็กๆ และกระจายให้กลุ่มคนหลายๆ คนทำพร้อมๆ
กัน ให้เขาแก้ปัญหาเล็กๆ ให้เรา เมื่อทุกคนต่างทำงานเล็กๆ ของตนสำเร็จแล้ว
ก็หมายถึงว่างานชิ้นใหญ่ที่ประกอบขึ้นจากงานชิ้นเล็กๆ
เหล่านั้นก็จะประสบความสำเร็จไปด้วย
•Shared workspaces ประสานงานโครงการและงานสร้างเนื้อหาร่วมกันคือการที่กลุ่มคนจากต่างสาขาอาชีพมารวมตัวกันและทำงานในพื้นที่เดียวกัน
การทำงานในลักษณะนี้แตกต่างจากการทำงานในบริษัทหรือองค์กรโดยทั่วไป ก็คือ
ทุกคนต่างคนต่างทำงานของตัวเอง เพียงแต่แบ่งปันพื้นที่ในการทำงานร่วมกันเท่านั้น
การรวมตัวกันในพื้นที่ทำงานชั่วคราวแล้ว ยังอาจหมายถึงชุมชนย่อม ๆ
ที่เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันของคนทำงานจากหลายสาขาอาชีพได้อีกด้วย
•Blogs and wikis เผยแพร่และเข้าถึงความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หารือเกี่ยวกับความคิดเห็นและประสบการณ์
-Blog เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง
ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน
ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ
ลิงค์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่าง ๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอเป็นที่ ๆ บอกเล่าประสบการณ์
หรือความคิดของผู้เขียนมักจะมีเจ้าของblogเพียงคนเดียว
บล็อคจะมีเนื้อหาคลอบคลุมไปด้านใดด้านหนึ่งที่ผู้เขียนบล็อคนั้นสนใจ
โดยผู้อ่านและผู้เขียนสามารถแสดงความคิดเห็นโต้ตอบกันได้
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีพื้นที่ไว้สำหรับบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ งานอดิเรก
หรือสิ่งที่ชื่นชอบให้แก่ผู้อื่นฟัง
และสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของเราได้
-Wiki เป็นสังคมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้
ผู้เข้ามาใช้งานสามารถเขียนหรือแก้ไขข้อมูลได้ทุกเวลา wiki เป็นเหมือนคลังความรู้ออนไลน์
ที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บรวบรวมความรู้จากผู้รู้ หลายคน
มาเก็บรวบรวมไว้ที่เดียวกัน ซึ่งผู้ใช้งานรายอื่น ๆ
สามารถเข้ามาศึกษาหาความรู้ได้
แต่แสดงความคิดเห็นไม่ได้
วิกิซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นตัวซอฟต์แวร์รองรับการทำงานระบบนี้ หรือยังสามารถหมายถึงตัวเว็บไซต์เองที่นำระบบนี้มาใช้งาน
•Social commerce แชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการซื้อหรือซื้อบนแพลตฟอร์มโซเชียล
Social Media ในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ E-Commerce การแบ่งปันความคิดเกี่ยวกับการซื้อบนแพลตฟอร์มของสังคมออนไลน์หรือการทำธุรกิจโดยมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
Social Activity บนโลกออนไลน์ Social Commerce เป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
•File sharing อัพโหลดแชร์และแสดงความคิดเห็นในรูปภาพวิดีโอเสียงข้อความเอกสาร
ระบบการแชร์ไฟล์บน Windows ที่จะทำให้เราสามารถแชร์ไฟล์ต่าง
ๆ อัพโหลด และแบ่งปันการใช้งานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเอกสาร รูปภาพ วีดีโอ
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกเก็บไว้จากศูนย์กลางที่เดียว คอยให้บริการกับ Client
User เข้าไปใช้งานโดยที่ไม่ต้องเก็บไว้กับเครื่องตนเอง
และยังสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์เหล่านั้นได้อีกด้วย
•Social marketingใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโต้ตอบกับลูกค้า
ได้รับมาการตลาดรูปแบบนี้คือการสร้างสรรค์สังคม
หรือการแบ่งส่วนของผลประกอบการเข้าเพื่อเข้าสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบทั้งในถิ่นที่ตั้งอยู่หรือแม้กระทั้งสังคมโลกก็ตาม
การทำการตลาดบนสื่อออนไลน์ คนส่วนใหญ่จะเข้าถึงได้ง่าย
การเข้าถึงกลุ่มบุคคลที่สนใจในตัวสินค้าหรือบริการแบบตัวต่อตัว
โดยที่เจ้าของกิจการสามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลผ่านทาง Social Media ได้เหมือนผู้ซื้อได้พูดคุยสอบถามข้อมูลกับเจ้าของร้านโดยตรงข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
•Communities อภิปรายหัวข้อในเรื่องการเปิดฟอรัม
แบ่งปันความรู้ความชำนาญ
ธุรกิจจะได้ประโยชน์ดังนี้
•ด้านผลผลิต คนที่มีปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกันสามารถจับภาพความรู้และผลผลิตของผู้เชี่ยวชาญได้
แก้ปัญหาได้เร็วกว่าจำนวนคนที่ทำงานแยกกัน จะมีข้อผิดพลาดน้อยลง
•ด้านคุณภาพ คนที่ทำงานร่วมกันสามารถแจ้งข้อผิดพลาดและแก้ไขคุณภาพได้การกระทำได้เร็วกว่าถ้าพวกเขาทำงานแยกกัน
ทำงานร่วมกันและใช้เทคโนโลยีทางสังคมช่วยลดความล่าช้าในการออกแบบและผลิต
•ด้านนวัตกรรม คนที่ทำงานร่วมกันสามารถเกิดแนวคิดใหม่ ๆ
ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ผลิตภัณฑ์บริการและการบริหารจัดการมากกว่าจำนวนเดียวกันการแยกกันทำงาน
ข้อดีของความหลากหลายและภูมิปัญญาของฝูงชน "
•ด้านการบริการลูกค้า คนที่ทำงานร่วมกันโดยใช้ความร่วมมือและเครื่องมือทางสังคมสามารถแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนและปัญหาของลูกค้าที่ให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ากรณีที่พวกเขากำลังทำงานแยกออกจากกัน
ประสิทธิภาพทางการเงิน
•ด้านประสิทธิภาพทางการเงิน
การทำกำไร การขาย การเติบโตของยอดขาย
อันเป็นผลมาจากทั้งหมดข้างต้น บริษัท
ที่ทำงานร่วมกันมียอดขายที่เหนือกว่ายอดขาย
ความสามารถในการทำกำไรการขายและการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพทางการเงิน